บทความสุขภาพ
Knowledge
นพ. น๊อต เตชะวัฒนวรรณา
ไตเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่มีหน้าที่ในการกำจัดของเสีย รวมถึงควบคุมดุลสมดุลน้ำ และเกลือแร่ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมไปถึงยังเป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ด้วย ดั้งนั้นหากมีความผิดปกติของไต ก็จะทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายต่าง ๆ ตามมา
โรคไตระยะ 5 หรือโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย เป็นภาวะที่ไตเสื่อมสภาพจนไม่สามารถกรองของเสียและควบคุมสมดุลน้ำหรือแร่ธาตุในร่างกายได้ ทำให้มีของเสียสะสมในเลือดจนส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ใผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการรักษาทดแทนไต เช่น การฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
คำถามที่หลาย ๆ คนสงสัยว่า “ผู้ป่วยโรคไตระยะ 5 จะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน?” บทความนี้จะอธิบายข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับโรคไตระยะ 5 ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการรักษา การดูแลตัวเอง รวมถึงคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อเตรียมพร้อมและวางแผนการดูแลสุขภาพให้เหมาะสม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย
โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) แบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับค่าการกรองของไต (Glomerular Filtration Rate: GFR) โดยมีรายละเอียดดังนี้
โรคไตระยะ 5 (End-Stage Renal Disease: ESRD) เป็นระยะสุดท้ายของโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) ที่การทำงานของไตลดลงเหลือไม่ถึง 15% ส่งผลให้ไตไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกายได้
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคไตระยะ 5 ได้แก่
โรคไตเรื้อรังมักดำเนินโรคอย่างช้า ๆ มักไม่มีอาการเด่นชัดในระยะแรก แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาจพบอาการต่าง ๆ เช่น
หากเริ่มสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
โรคไตระยะ 5 หรือระยะสุดท้าย เป็นภาวะที่การทำงานของไตลดลงอย่างรุนแรงจนไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกายได้อีกต่อไป อาการในระยะนี้มักรุนแรงและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก โดยอาการที่พบได้ในระยะนี้ได้แก่
อาการบางอย่างในโรคไตระยะ 5 อาจเป็นสัญญาณฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน ได้แก่
หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที
อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยโรคไตระยะ 5 ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น วิธีการรักษา สุขภาพโดยรวม และการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะ 5 ของโรคไตเรื้อรัง การรักษามีเป้าหมายหลักเพื่อทดแทนการทำงานของไตที่เสื่อมสภาพไป โดยมี 2 วิธีสำคัญดังนี้
การฟอกไตเป็นกระบวนการกำจัดของเสีย ของเหลวส่วนเกิน และสารพิษออกจากร่างกาย โดยเป็นการทำงานแทนการทำงานของไต วิธีนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
ใช้เครื่องฟอกเลือดที่ต่อเข้ากับหลอดเลือดของผู้ป่วย เพื่อกรองของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด การรักษาด้วยวิธีการนี้ต้องทำในโรงพยาบาลหรือในศูนย์ฟอกไต โดยทั่วไปผู้ป่วยต้องฟอกไต สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง
เป็นการใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรองของเสีย โดยผู้ป่วยสามารถทำเองที่บ้านได้ โดยการเติมน้ำยาล้างไตเข้าสู่ช่องท้องผ่านสายสวนพิเศษ แล้วปล่อยให้น้ำยาดูดซับของเสียก่อนจะระบายออก กระบวนการนี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ วันละหลายครั้งหรืออาจทำในขณะนอนหลับ
การปลูกถ่ายไตคือการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เสียไปด้วยไตใหม่จากผู้บริจาค ซึ่งอาจเป็นบุคคลที่มีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว ข้อดีของวิธีนี้คือช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องพึ่งพาการฟอกไตอีกต่อไป แต่ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตเพื่อป้องกันร่างกายต่อต้านไตใหม่
การตัดสินใจเลือกรูปแบบการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย ความสะดวกในการเข้าถึงการรักษา และความพร้อมทางด้านจิตใจและเศรษฐกิจ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้มากที่สุด
การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมในโรคไตระยะ 5 มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยลดอาการไม่พึงประสงค์ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
การดูแลตัวเองในโรคไตระยะ 5 อาจจะดูซับซ้อน แต่หากมีความเข้าใจและมีการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุลและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เป็นระยะสุดท้ายของโรคไตเรื้อรัง ไตเสื่อมสภาพทำงานได้ต่ำกว่า 15% ไม่สามารถกรองของเสียและขจัดน้ำส่วนเกินจากร่างกายได้ ผู้ป่วยต้องพึ่งการรักษาทดแทนไต เช่น การฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต
ขึ้นอยู่กับการรักษา การดูแลตัวเอง และสุขภาพของผู้ป่วยโดยรวม ผู้ที่ได้รับการฟอกไตอย่างเหมาะสมสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปี ส่วนการปลูกถ่ายไตช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งการฟอกไต
อาการที่พบบ่อยคือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปัสสาวะน้อยหรือไม่มี บวมตามร่างกาย เช่น ขาและใบหน้า หายใจลำบาก นอนไม่หลับ คันทั่วตัว และอาจมีภาวะซึมเศร้าหรือความจำเสื่อม
มีผลข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น ความดันโลหิตต่ำ ตะคริวกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือภาวะแทรกซ้อนจากการใส่สายฟอกไต แต่สามารถลดผลข้างเคียงได้ด้วยการดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
การปลูกถ่ายไตเหมาะกับผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 5 ที่มีร่างกายแข็งแรงพอ ไม่มีโรคร้ายแรงอื่น เช่น มะเร็งหรือการติดเชื้อรุนแรง และต้องสามารถรับประทานยากดภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิต (ทั้งนี้ขึ้นกับผลการตรวจประเมินจากอายุรแพทย์โรคไต)
ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เช่น อาหารแปรรูป น้ำปลา และขนมขบเคี้ยว อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย มันฝรั่ง และมะเขือเทศ รวมถึงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น นม ชีส และถั่ว
สามารถป้องกันได้โดยการดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิต หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดเป็นเวลานาน และตรวจสุขภาพประจำปี
การฟอกไตเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถปลูกถ่ายไตได้ ส่วนการปลูกถ่ายไตเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ไม่ต้องพึ่งการฟอกไตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โรคไตระยะ 5 เป็นภาวะที่ไตเสื่อมจนไม่สามารถทำหน้าที่กรองของเสียและขจัดน้ำส่วนเกินจากร่างกายได้ ผู้ป่วยต้องพึ่งการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตเพื่อรักษาชีวิต ระยะเวลาในการอยู่รอดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การรักษาที่ได้รับ การดูแลตัวเอง รวมถึงสุขภาพโดยรวม หากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์ เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด จะช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้การดูแลตัวเองและการสนับสนุนจากคนรอบข้างก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
ไตเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่มีหน้าที่ในการกำจัดของเสีย รวมถึงควบคุมดุลสมดุลน้ำ และเกลือแร่ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมไปถึงยังเป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ด้วย ดั้งนั้นหากมีความผิดปกติของไต ก็จะทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายต่าง ๆ ตามมา
โรคไตระยะ 5 หรือโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย เป็นภาวะที่ไตเสื่อมสภาพจนไม่สามารถกรองของเสียและควบคุมสมดุลน้ำหรือแร่ธาตุในร่างกายได้ ทำให้มีของเสียสะสมในเลือดจนส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ใผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการรักษาทดแทนไต เช่น การฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
คำถามที่หลาย ๆ คนสงสัยว่า “ผู้ป่วยโรคไตระยะ 5 จะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน?” บทความนี้จะอธิบายข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับโรคไตระยะ 5 ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการรักษา การดูแลตัวเอง รวมถึงคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อเตรียมพร้อมและวางแผนการดูแลสุขภาพให้เหมาะสม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย
โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) แบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับค่าการกรองของไต (Glomerular Filtration Rate: GFR) โดยมีรายละเอียดดังนี้
โรคไตระยะ 5 (End-Stage Renal Disease: ESRD) เป็นระยะสุดท้ายของโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) ที่การทำงานของไตลดลงเหลือไม่ถึง 15% ส่งผลให้ไตไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกายได้
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคไตระยะ 5 ได้แก่
โรคไตเรื้อรังมักดำเนินโรคอย่างช้า ๆ มักไม่มีอาการเด่นชัดในระยะแรก แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาจพบอาการต่าง ๆ เช่น
หากเริ่มสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
โรคไตระยะ 5 หรือระยะสุดท้าย เป็นภาวะที่การทำงานของไตลดลงอย่างรุนแรงจนไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกายได้อีกต่อไป อาการในระยะนี้มักรุนแรงและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก โดยอาการที่พบได้ในระยะนี้ได้แก่
อาการบางอย่างในโรคไตระยะ 5 อาจเป็นสัญญาณฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน ได้แก่
หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที
อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยโรคไตระยะ 5 ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น วิธีการรักษา สุขภาพโดยรวม และการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะ 5 ของโรคไตเรื้อรัง การรักษามีเป้าหมายหลักเพื่อทดแทนการทำงานของไตที่เสื่อมสภาพไป โดยมี 2 วิธีสำคัญดังนี้
การฟอกไตเป็นกระบวนการกำจัดของเสีย ของเหลวส่วนเกิน และสารพิษออกจากร่างกาย โดยเป็นการทำงานแทนการทำงานของไต วิธีนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
ใช้เครื่องฟอกเลือดที่ต่อเข้ากับหลอดเลือดของผู้ป่วย เพื่อกรองของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด การรักษาด้วยวิธีการนี้ต้องทำในโรงพยาบาลหรือในศูนย์ฟอกไต โดยทั่วไปผู้ป่วยต้องฟอกไต สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง
เป็นการใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรองของเสีย โดยผู้ป่วยสามารถทำเองที่บ้านได้ โดยการเติมน้ำยาล้างไตเข้าสู่ช่องท้องผ่านสายสวนพิเศษ แล้วปล่อยให้น้ำยาดูดซับของเสียก่อนจะระบายออก กระบวนการนี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ วันละหลายครั้งหรืออาจทำในขณะนอนหลับ
การปลูกถ่ายไตคือการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เสียไปด้วยไตใหม่จากผู้บริจาค ซึ่งอาจเป็นบุคคลที่มีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว ข้อดีของวิธีนี้คือช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องพึ่งพาการฟอกไตอีกต่อไป แต่ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตเพื่อป้องกันร่างกายต่อต้านไตใหม่
การตัดสินใจเลือกรูปแบบการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย ความสะดวกในการเข้าถึงการรักษา และความพร้อมทางด้านจิตใจและเศรษฐกิจ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้มากที่สุด
การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมในโรคไตระยะ 5 มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยลดอาการไม่พึงประสงค์ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
การดูแลตัวเองในโรคไตระยะ 5 อาจจะดูซับซ้อน แต่หากมีความเข้าใจและมีการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุลและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เป็นระยะสุดท้ายของโรคไตเรื้อรัง ไตเสื่อมสภาพทำงานได้ต่ำกว่า 15% ไม่สามารถกรองของเสียและขจัดน้ำส่วนเกินจากร่างกายได้ ผู้ป่วยต้องพึ่งการรักษาทดแทนไต เช่น การฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต
ขึ้นอยู่กับการรักษา การดูแลตัวเอง และสุขภาพของผู้ป่วยโดยรวม ผู้ที่ได้รับการฟอกไตอย่างเหมาะสมสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปี ส่วนการปลูกถ่ายไตช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งการฟอกไต
อาการที่พบบ่อยคือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปัสสาวะน้อยหรือไม่มี บวมตามร่างกาย เช่น ขาและใบหน้า หายใจลำบาก นอนไม่หลับ คันทั่วตัว และอาจมีภาวะซึมเศร้าหรือความจำเสื่อม
มีผลข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น ความดันโลหิตต่ำ ตะคริวกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือภาวะแทรกซ้อนจากการใส่สายฟอกไต แต่สามารถลดผลข้างเคียงได้ด้วยการดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
การปลูกถ่ายไตเหมาะกับผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 5 ที่มีร่างกายแข็งแรงพอ ไม่มีโรคร้ายแรงอื่น เช่น มะเร็งหรือการติดเชื้อรุนแรง และต้องสามารถรับประทานยากดภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิต (ทั้งนี้ขึ้นกับผลการตรวจประเมินจากอายุรแพทย์โรคไต)
ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เช่น อาหารแปรรูป น้ำปลา และขนมขบเคี้ยว อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย มันฝรั่ง และมะเขือเทศ รวมถึงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น นม ชีส และถั่ว
สามารถป้องกันได้โดยการดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิต หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดเป็นเวลานาน และตรวจสุขภาพประจำปี
การฟอกไตเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถปลูกถ่ายไตได้ ส่วนการปลูกถ่ายไตเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ไม่ต้องพึ่งการฟอกไตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โรคไตระยะ 5 เป็นภาวะที่ไตเสื่อมจนไม่สามารถทำหน้าที่กรองของเสียและขจัดน้ำส่วนเกินจากร่างกายได้ ผู้ป่วยต้องพึ่งการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตเพื่อรักษาชีวิต ระยะเวลาในการอยู่รอดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การรักษาที่ได้รับ การดูแลตัวเอง รวมถึงสุขภาพโดยรวม หากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์ เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด จะช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้การดูแลตัวเองและการสนับสนุนจากคนรอบข้างก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (2)
ดูทั้งหมด
บทความที่เกี่ยวข้อง (0)
ดูทั้งหมด
Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital